มรดกอารยธรรมโรมัน
![]() |
การปกครองส่วนกลาง พลเมืองโรมันแต่ล่ะกลุ่ม ทั้งชนชั้นสูง สามัญชน
และทหาร ต่างมีโอกาสเลือกผู้แทนของตนเข้าไปบริหารประเทศรวม 3 สภา คือ
-
สภาซีเนต (Senate) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มแพทริเซียน (Patricians)
หรือชนชั้นสูง
-
สภากองร้อย (Assembly of Centuries) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มทหารเหล่าต่างๆ
-
ราษฎร (Assembly of Tribes) ซึ่งเป็นตัวแทนของพวกพลีเบียน (Ple-beians)
หรือสามัญชนเผ่าต่างๆ รวม 35
เผ่า
แต่ละสภามีหน้าที่และอำนาจแตกต่างกัน
สภาซีเนตมีอำนาจสูงสุด เพราะได้ควบคุมการปกครองทั้งด้านบริหาร นิติบัญญัติ
และตุลาการ ตลอดจนกำหนดนโยบายต่างประเทศด้วย
กฎหมายโรมัน โรมันมีกฎหมายมาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐ
ในระยะแรกบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามวินิจฉัยของผู้พิพากษาซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นสูง
พวกสามัญชนจึงเรียกร้องให้เขียนกฎหมายเป็นลายลักษณ์
ซึ่งต่อมาได้แกะสลักบนแผ่นไม้รวม 12 แผ่นเรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Twelve
Tables) ความโดดเด่นของกฎหมายโรมันคือ ความทันสมัย
เพราะมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับโครงสร้างการปกครองที่เปลี่ยนเป็นระบอบจักรวรรดิและสภาพแวดล้อมของประชาชนในทุกส่วนของจักรวรรดิ
นอกจากนี้ตุลาการชาวโรมันยังมีส่วนทำให้เกิดการยอมรับหลักการพื้นฐานของกฎหมายว่า
ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย
ซึ่งรวมถึงกระบวนการยุติธรรมที่ยึดเป็นแบบอย่างปฏิบัติต่อมาถึงปัจจุบันคือ
ให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน
จนกว่าจะมีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่ามีการกระทำความผิด
กฎหมายโรมันเป็นมรดกทางอารยธรรมที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของหลักกฎหมายของประเทศต่างๆในทวีปยุโรป
และยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อกฎและข้อบังคับของศาสนาคริสต์
ด้านเศรษฐกิจ
จักรวรรดิโรมันมีนโยบายส่งเสริมการผลิตทางด้านเกษตรกรรม
และอุตสากหรรม รวมทั้งการค้ากับดินแดนภายในและภายนอกจักรวรรดิ
ด้านเกษตรกรรม เดิมชาวโรมันในแหลมอิตาลีประกอบเกษตรกรรมเป็นหลัก
และพึ่งพิงการผลิตภายในดินแดนของตน
ต่อมาเมื่อจักรวรรดิโรมันขยายอำนาจออกไปครอบครองดินแดนอื่นๆ
การเพาะปลูกพืชและข้าวในแหลมอิตาลีเริ่มลดลง เนื่องจากรัฐส่งเสริมให้ดินแดนอื่นๆ
นอกแหลมอิตาลีปลูกข้าว โดยวิธีการปฏิรูปที่ดิน
ดินแดนที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่อยู่ในแคว้นกอล (Gaull)
เขตประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน
และตอนเหนือของแอฟริกา
ส่วนพื้นที่การเกษตรในแหลมอิตาลีส่วนใหญ่เปลี่ยนไปทำไร่องุ่นและเลี้ยงสัตว์
ด้านการค้า การค้าในจักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองมาก
มีทั้งการค้ากับดินแดนภายในและนอกจักรวรรดิ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การค้าเจริญรุ่งเรือง ได้แก่
ขนาดของดินแดนที่กว้างใหญ่และจำนวนประชากร
ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่สามารถรองรับสินค้าต่างๆได้มาก
นอกจากนี้การจัดเก็บภาษีการค้าก็อยู่ในอัตราต่ำและยังมีการใช้เงินสกุลเดียวกันทั่วจักรวรรดิ
ประกอบกับภายในจักวรรดิโรมันมีระบบคมนาคมขนส่งทางบก คือ
ถนนและสะพานที่ติดต่อเชื่อมโยงกับดินแดนต่างๆ ได้สะดวก
ทำให้การติดต่อค้าขายสะดวกรวดเร็ว การค้ากับดินแดนนอกจักรวรรดิโรมันที่สำคัญได้แก่
ทวีปเอเชีย โดยเฉพาะการค้ากับอินเดียซึ่งส่งสินค้าประเภท
เครื่องเทศ ผ้าฝ้าย และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
สำหรับชนชั้นสูงเข้ามาจำหน่าย
โดยมีกรุงโรมและนครอะเล็กซานเดรียในอียิปต์เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ
ด้านอุตสาหกรรม ความรุ่งเรืองทางกาค้าของจักรวรรดิโรมันส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง
ดินแดนที่มีการประกอบอุตสาหกรรมที่สำคัญได้แก่ แหลมอิตาลี สเปน และแคว้นกอล
ซึ่งผลิตสินค้าประเภทเครื่องปั้นดินเผาและสิ่งทอ อย่างไรก็ตาม
อุตสาหกรรมในเขตจักรวรรดิโรมันส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก
ด้านสังคม จักรวรรดิโรมันมีความเจริญด้านสังคมมาก
ที่สำคัญได้แก่ ภาษา การศึกษา วรรณกรรม การก่อสร้าง และสถาปัตยกรรม วิทยาการต่างๆ
และวิถีดำรงชีวิตของชาวโรมัน
ภาษาละติน ชาวโรมันพัฒนาภาษาละตินจากตัวพยัญชนะในภาษากรีกที่พวกอีทรัสคันนำมาใช้ในแหลมอิตาลี
ภาษาละตินมีพยัญชนะ 23 ตัว
ใช้กันแพร่หลายในมหาวิทยาลัยของยุโรปสมัยกลาง และเป็นภาษาทางราชการของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมาจนถึงศตวรรษ
1960 นอกจากนี้ภาษาละตินยังเป็นภาษากฎหมายของประเทศในยุโรปตะวันตกนานหลายร้อยปีและเป็นรากของภาษาในยุโรป
ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และโรมาเนีย
ภาษาละตินยังถูกนำไปใช้เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับภาษากรีกด้วย
ด้านการศึกษา โรมันส่งเสริมการศึกษาแก่ประชาชนของตนทั่วจักวรรดิในระดับประถมและมัธยม
โดยรัฐจัดให้เยาวชนทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 7 ปี
เข้าศึกษาในโรงเรียนประถมโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
ส่วนการศึกษาระดับมัธยมเริ่มเมื่ออายุ 13
ปี วิชาที่เยาวชนโรมันต้องศึกษาในระดับพื้นฐาน
ได้แก่ ภาษาละติน เลขคณิต และดนตรี ผู้ที่ต้องการศึกษาวิทยาการเฉพาะด้าน
ต้องเดินทางไปศึกษาตามเมืองที่เปิดสอนวิชานั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น
กรุงเอเธนส์สอนวิชาปรัชญา นครอะเล็กซานเดรียสอนวิชาการแพทย์
ส่วนกรุงโรมเปิดสอนวิชากฎหมาย คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
ด้านวรรณกรรม โรมันได้รับอิทธิพลด้านวรรณกรรมจากกรีก ประกอบกับได้รับการส่งเสริมจากจักรพรรดิโรมัน
จึงมีผลงานด้านวรรณกรรมจำนวนมากทั้งบทกวีและร้อยแก้ว
มีการนำวรรณกรรมกรีกมาเขียนเป็นภาษาละตินเพื่อเผยแพร่ในหมู่ชาวโรมัน และยังมีผลงานด้านประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงคือ แทซิอุส (Tacitus)
ซึ่งวิพากษ์การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยของชาวโรมัน
ส่วนกวีที่มีชื่อเสียงมาก
ที่สุดคนหนึ่งของโรมันคือ ซิเซโร (Cicero)
ซึ่งมีผลงานจำนวนมากรวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
การก่อสร้างและสถาปัตยกรรม ผลงานด้านการก่อสร้างเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ของชาวโรมัน
โรมันเรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคการก่อสร้าง
การวางผังเมืองและระบบระบายน้ำจากกรีกจากนั้นได้พัฒนาระบบก่อสร้างของตนเอง
ชาวโรมันได้สร้างผลงานไว้เป็นจำนวนมาก เช่น ถนน สะพาน ท่อส่งน้ำประปา
อัฒจันทร์ครึ่งวงกลม สนามกีฬา ฯลฯ อนึ่ง
ในสมัยนี้มีการใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างอย่างแพร่หลาย
นอกจากผลงานด้านการก่อสร้างแล้ว
โรมันยังมีผลงานด้านสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปกรรมที่งดงามจำนวนมาก
เช่น พระราชวัง วิหาร โรงละครสร้างเป็นอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าโรมันจะรับสถาปัตยกรรมกรีกเป็นต้นแบบงานสถาปัตยกรรมของตน
แต่ชาวโรมันก็ได้พัฒนารูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนด้วย เช่น ประตู วงโค้ง
และหลังคาแบบโดม
ด้านวิทยาการต่างๆ ชาวโรมันไม่ได้พัฒนาความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มากนัก แต่ได้สร้างคุณูปการสำคัญให้แก่ชาวโลกซึ่งได้แก่การรวบรวมและบันทึกวิทยาการต่างๆ
ที่ได้รับมาและตกทอดเป็นมรดกแก่ชาวโลก เช่น ตำราด้านการแพทย์ ดาราศาสตร์
เกษตรศาสตร์ สัตวแพทย์ ฯลฯ
อย่างไรก็ตามการแพทย์และสาธารณสุขของโรมันนับว่าก้าวหน้ามาก แพทย์โรมันสามารถผ่าตัดรักษาโรคได้หลายโรค
โดยเฉพาะการผ่าตัดทำคลอดทารกจากทางหน้าท้องของมารดา ซึ่งเรียกว่า ศัลยกรรมซีซาร์ (Caesarean
Operation) นอกจากนี้ยังมีการสร้างโรงพยาบาลระบบบำบัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล
วิถีชีวิตของชาวโรมัน ความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน ทำให้ชนชั้นสูงชาวโรมันและผู้มีฐานะมั่งคั่งดำรงชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา ทั้งการสร้างคฤหาสน์ที่โอ่อ่า สุขสบาย มีสิ่งบำเรอความสะดวกครบถ้วน ลักษณะเด่นที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่หรูหราของชาวโรมันคืออ่างอาบน้ำ ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในบ้านและที่อาบน้ำสาธารณะ ในทางตรงข้ามประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน โดยเฉพาะในกรุงโรมมีคนจนจำนวนมากซึ่งมีชีวิตยากจน ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างและขาดสวัสดิการ ลักษณะเช่นนี้สะท้อนถึงปัญหาสังคมของเมืองใหญ่ที่เจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ แต่มักประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิตของประชาชน


